เพียงแค่พรินเตอร์คุณภาพสูงอย่างเดียวนั้นยังไม่พอที่จะทำให้คุณพิมพ์ภาพถ่ายออกมาอย่างสมบูรณ์แบบได้ ตราบใดที่คุณละเลยขั้นตอนพื้นฐานต่อไปนี้ 1 .ความละเอียดภาพ มาตรฐานของหน่วยที่ใช้วัดความคมชัดของภาพถ่ายก็คือ ค่า dpi (dots per inch) หรือค่าที่แสดงถึงจำนวนจุดในพื้นที่ 1 ตารางนิ้วบนภาพ ซึ่งในที่นี้คุณต้องแน่ใจว่า ภาพถ่ายดิจิตอลของคุณนั้นมีค่าความละเอียดนี้อย่างน้อย 240dpi แล้วสำหรับการพิมพ์ออกมาเป็นภาพขนาด 4x6 นิ้ว แต่ถ้าหากคุณต้องการพิมพ์ให้มีขนาดใหญ่ 5x7 นิ้วหรือใหญ่กว่านี้ก็ภาพดิจิตอลก็ควรมีความละเอียด 300dpi นอกเหนือไปจากเรื่องความละเอียดแล้ว คุณต้องแน่ใจด้วยว่าภาพถ่ายนั้นๆ มีขนาดที่ใหญ่พอที่จะนำไปพิมพ์ลงบนกระดาษที่คุณต้องการด้วย เพราะกรณีที่คุณนำภาพที่มีขนาดเล็กไปพิมพ์ลงบนขนาดใหญ่ ภาพที่ได้ออกมาจะแตกเป็นบล็อกรูปสี่เหลี่ยมหรือเกิดเป็นรอยหยักที่เห็นได้อย่างชัดเจน 2 .รูปแบบไฟล์ภาพ ในกรณีที่คุณมีภาพความละเอียดสูง คุณจำเป็นต้องบันทึกภาพให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมด้วยเช่น TIFF หรือ JPEG แต่เนื่องจากไฟล์ภาพแบบ JPEG นั้นจะมีการบีบอัดสูงดังนั้นถ้าคุณต้องการพิมพ์ภาพโดยให้มีคุณภาพสูงจริงๆ ก็ควรไฟล์ภาพแบบ TIFF เสมอแม้ว่าไฟล์ภาพชนิดนี้จะมีขนาดที่ใหญ่กว่ามากก็ตาม 3. ปรับแต่คุณภาพภาพ ก่อน ที่คุณจะนำภาพถ่ายมาพิมพ์ลงกระดาษ ถ้าเป็นไปได้คุณควรนำภาพนั้นมาตรวจสอบหรือทำการปรับแต่งด้วยโปรแกรมปรับแต่ง ภาพก่อน ซึ่งวิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้ภาพถ่ายมีความคมชัด มีความถูกต้องสีและแสงมากยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การลดจุดรบกวนสีในภาพที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลก็เป็นการปรับปรุง คุณภาพของภาพที่จะนำมาพิมพ์ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นการนำฟิลเตอร์ลักษณะต่างๆ มาใช้กับภาพก็จะยิ่งทำให้ภาพที่ดูมีคุณภาพขึ้นด้วย สำหรับกรณีที่คุณไม่มีโปรแกรมตกแต่งภาพ คุณก็สามารถใช้ฟังก์ชันปรับแต่งภาพภายในไดรเวอร์แทนได้เช่นกัน ทั้งในเรื่องการปรับความสมดุลของสีและแสงเงาต่างๆ 4. ใช้ไดรเวอร์เวอร์ชันล่าสุด ถ้าเป็นไปได้ พรินเตอร์ของคุณควรใช้ไดรเวอร์ที่เป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุด ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าไดรเวอร์ได้รับการแก้ไขมาให้เหมาะกับพรินเตอร์แล้วจริงๆ นอกจากนั้นภายในไดรเวอร์เวอร์ชันใหม่ๆ ก็มักจะมีค่ากำหนดบางอย่างสำหรับการพิมพ์เพิ่มเข้ามาด้วย โดยเฉพาะฟังก์ชันการปรับแต่งภาพและการเลือกใช้ระบบสีที่เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ภาพที่พรินเตอร์พิมพ์ได้มีคุณภาพจริงๆ 5. ความละเอียดในการพิมพ์ เพื่อให้ภาพที่พิมพ์ได้มีคุณภาพสูงที่สุด คุณควรกำหนดให้พรินเตอร์พิมพ์ภาพด้วยความละเอียดสูงที่สุดเท่าที่พรินเตอร์จะทำได้ด้วย โดยเลือกที่หัวข้อ Best, Fine, Highest หรือกำหนดใช้ค่าความละเอียดสูงสุดที่พรินเตอร์ระบุ แต่อย่างไรก็ตามการที่คุณจะกำหนดค่าความละเอียดนี้ได้ พรินเตอร์บางรุ่นจะก็จะอ้างอิงจากชนิดของกระดาษที่ใช้ด้วย 6. ใช้หมึกพิมพ์ภาพถ่าย พรินเตอร์ บางรุ่นสามารถใช้หมึกพิมพ์ได้ทั้งชนิดธรรมดาและแบบพิมพ์ภาพภาพถ่าย ซึ่งในกรณีที่คุณต้องการพิมพ์ภาพให้ได้คุณภาพก็ควรเลือกใช้เฉพาะหมึกที่ออก แบบไว้สำหรับพิมพ์ภาพถ่ายจริงๆ และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกใช้เฉพาะหมึกพิมพ์ที่ผู้ผลิตพรินเตอร์แนะนำให้ใช้ เท่านั้น 7. การเลือกใช้กระดาษ ผู้ ผลิตพรินเตอร์รายต่างๆ ล้วนแต่แนะนำให้ผู้ใช้ใช้กระดาษของตัวเองเสมอ โดยเฉพาะในกรณีของกระดาษพิมพ์ภาพถ่ายชนิดต่างๆ ซึ่งคุณก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวนี้ เนื่องจากกระดาษพิมพ์ภาพถ่ายของผู้ผลิตต่างถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีและมีความ เข้ากันได้ดีกับหมึกที่ใช้กับพรินเตอร์นั้นๆ มากที่สุด ซึ่งนอกจากจะให้ผลที่ดีกว่าในเรื่องคุณภาพภาพที่ได้แล้ว ยังให้ผลที่ดีในเรื่องความทนทานของภาพและการเก็บรักษาในระยะยาวด้วย 8. การตั้งค่าชนิดกระดาษ โดย ปกติแล้วกระดาษที่เหมาะสำหรับใช้ในการพิมพ์ภาพจะรู้จักกันดีในชื่อว่า กระดาษพิมพ์ภาพถ่ายหรือ Photo Paper และในการกำหนดค่าการพิมพ์คุณก็ต้องระบุการใช้กระดาษให้เป็นกระดาษพิมพ์ภาพ ถ่ายด้วย หรือถ้าเป็นกระดาษสำหรับพิมพ์ภาพถ่ายชนิดอื่นก็กำหนดให้ตรงกันด้วย ทั้งนี้เพื่อให้พรินเตอร์สามารถควบคุมปริมาณของหมึกที่จะพ่นลงมาบนกระดาษที่ ใช้พิมพ์ภาพได้อย่างเหมาะสม และได้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีที่สุด 9. ทำความสะอาดและปรับหัวพิมพ์ ในซอฟต์แวร์ไดรเวอร์ของพรินเตอร์รุ่นต่างๆ จะมี Tools สำหรับใช้บำรุงรักษาเครื่องเตรียมไว้ให้ผู้ใช้ใช้ด้วย ซึ่ง Tools เหล่านี้ก็มีผลต่อคุณภาพของภาพพิมพ์ได้ด้วย โดยเฉพาะการปรับค่าระยะหัวพิมพ์ให้มีความเหมาะสมและการทำความสะอาดหัวพิมพ์ ซึ่งคุณควรใช้อย่างสม่ำเสมอทั้งนี้เพื่อให้การพิมพ์ของเครื่องเกิดประโยชน์มากที่สุด 10. รอเวลาให้หมึกแห้ง หลังจากที่พิมพ์ออกมาเป็นภาพได้แล้ว อย่าสัมผัสหรือจับที่ภาพในบริเวณที่มีหมึกพิมพ์หรือนำไปใส่กรอบกระจกในทันที เนื่องจากลายนิ้วมือและรอยคราบอื่นๆ อาจจะติดไปที่ภาพ หรือจนจะทำให้ภาพเปื้อนเลอะเทอะจนเกิดการเสียหายได้ แม้ว่าผู้ผลิตจะออกแบบหมึกพิมพ์และกระดาษมาให้สามารถแห้งได้ภายในเวลาอันสั้น แต่ทางที่ดีคุณควรรอให้หมึกแห้งสนิทจริงๆ ก่อนด้วยการปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 18 ชั่วโมง สำหรับ กรณีที่คุณพิมพ์ภาพถ่ายเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พิมพ์ภาพใดภาพหนึ่งเสร็จแล้วก็ควรนำภาพนั้นออกจากพรินเตอร์ก่อน ก่อนที่ภาพต่อไปจะพิมพ์เสร็จออกมาทับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้แน่ใจว่าภาพที่พิมพ์ได้จะไม่ถูกซ้อนทับจนทำให้หมึกเลอะ เทอะหรือมีสิ่งไม่พึงประสงค์จากกระดาษมาติดอยู่ภาพที่พิมพ์ได้นั่นเอง